ดูหนัง

รีวิว Black Phone 2 สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 2 

ในจังหวะที่คืนฮัลโลวีนเข้ามาเยือนอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่อง Black Phone 2 สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 2 กลับมาทวงความหวาดกลัว พร้อมเอนเอียงจากคนหาย ไปสู่ร่องรอยแห่งความทรงจำที่ติดตามเราไม่หยุด ดูหนัง ภาคต่อนี้ไม่ได้มีแค่ฆาตกรหน้ากากและสายโทรศัพท์ที่ไม่เคยเงียบ นักแสดงเดิมกลับมา นักเขียน–ผู้กำกับคู่ใจอย่าง สก็อตต์ เดอริกสัน และซี. โรเบิร์ต คาร์กิลล์ ใช้โอกาสนี้ขยายจักรวาลบทสยองขวัญให้ลึกขึ้น เพิ่มมิติทางจิตวิทยาและเหนือธรรมชาติมากกว่าเดิม เตรียมตัวให้พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่มืดมนยิ่งขึ้น ความฝันที่ไม่อาจหลับ และความรู้สึกว่าการ “รอด” อาจเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายแทน

นักแสดง/นำแสดงโดย

  • เมสัน เทมส์ รับบทเป็น ฟินนีย์ 
  • มาเดอลีน แม็กกรอว์ รับบทเป็น เกวน 
  • อีธาน ฮอว์ค รับบทเป็น เดอะ แกร็บเบอร์ 
  • เดเมียน บิเชียร์ รับบทเป็น อาร์มันโด 
  • เจเรมี่ เดวีส์ รับบทเป็น เทอร์เรนซ์
  • มิเกล โมรา รับบทเป็น เออร์เนสโต
  • อาริอานนา ริวาส รับบทเป็น มัสแตง
  • แอนนา ลอร์ รับบทเป็น โฮป
ดูหนัง

อ่านเรื่องย่อของ Black Phone 2 สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 2

หลังจากเหตุการณ์ของภาคแรกผ่านมา สี่ปี ฟินนีย์ เบลค ในวัย 17 ปี ยังคงต้องเผชิญกับบาดแผลทางจิตใจจากการถูกจับตัวโดยฆาตกรหน้ากากที่เรียกว่า เดอะ แกร็บเบอร์ และหนีรอดมาได้ ในเวลาเดียวกัน น้องสาวของเขา เกวน เบลค อายุ 15 ปี เริ่มได้รับสายโทรศัพท์ประหลาดในฝัน ผ่าน “โทรศัพท์สีดำ” และเริ่มมีความฝันหลอนว่า มีเด็กชายสามคนถูกจับตามองในค่ายฤดูหนาวที่ชื่อ อัลไพน์เลค

ดูหนัง

เกวน จึงชักจูงให้ฟินนีย์ และเพื่อนของเขาเข้าร่วมเดินทางไปยังอัลไพน์เลค ค่ายฤดูหนาวที่เกี่ยวพันกับอดีตของแม่ของพวกเขา ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาค่ายในอดีต ที่นั่นในระหว่างพายุหิมะ ทั้งหมดต้องเผชิญกับความจริงที่น่ากลัวว่า เดอะ แกร็บเบอร์ ไม่ได้จากไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เขายังคงมีอำนาจแม้ตายแล้ว และมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับครอบครัวของฟินนีย์และเกวนมากกว่าที่คิด

ดูหนัง

ดูหนัง รีวิวหนัง Black Phone 2 สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 2

เสียงโทรศัพท์สีดำดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับความสั่นสะเทือนของอดีตที่ยังไม่จางหาย Black Phone 2 สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 2 คือการกลับมาของผู้กำกับ สก็อตต์ เดอริกสัน ที่ยังคงยืนหยัดอยู่บนแนวทางสยองขวัญ–จิตวิทยา แต่ในครั้งนี้ เขาเลือกจะไม่เพียงเล่าเรื่องของเหยื่อที่ต้องหนีตายเท่านั้น ทว่าเจาะลึกลงไปถึงผู้รอดชีวิตที่ต้องใช้ชีวิตต่อภายใต้บาดแผลจากอดีต ดูหนัง ที่เปิดเรื่องด้วยบรรยากาศเย็นเยียบของเมืองหิมะ ที่ดูเหมือนสงบแต่กลับซ่อนบางอย่างไว้ในเงามืด ความเงียบกลายเป็นเสียงสะท้อนของอดีต และโทรศัพท์สีดำที่ไม่ควรจะดังขึ้นอีก กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายบทใหม่ การแสดงของ เมสัน เทมส์ ในบท ฟินนีย์ คือหัวใจของเรื่อง เขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของเด็กหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับความกลัวและความรู้สึกผิดได้อย่างน่าจับตา การแสดงของเขาไม่ใช่ความหวาดกลัวแบบผาดโผน แต่เป็นความเงียบที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน ส่วน มาเดอลีน แม็คกรอว์ ในบท เกวน ก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม จากเด็กหญิงผู้ฝันเห็นอนาคตในภาคแรก เธอกลายเป็นผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับอดีตและสิ่งลึกลับที่ยังติดตามเธอไม่หยุด 

ดูหนัง

ในด้านการกำกับ เดอริกสัน ยังคงเชื่อมั่นในความกลัวจากความจริงมากกว่าความตกใจฉับพลัน (jump scare) เขาใช้ภาพ แสง และเสียงอย่างมีจังหวะ ทุกช็อตที่โทรศัพท์ดังขึ้นเหมือนเป็นการกรีดแผลในใจของผู้ชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเมื่อถึงจุดที่ความจริงเริ่มเปิดเผย หนังไม่ได้พาเราแค่กลับไปหาความทรงจำ แต่กลับตั้งคำถามถึงสิ่งที่เราเลือกจำ และสิ่งที่เราเลือกจะลืม งานภาพของเรื่องถือว่าทรงพลัง ภาพเมืองหิมะที่ถูกย้อมด้วยโทนสีเทาและฟ้าหม่นสร้างบรรยากาศสิ้นหวังอย่างมีชั้นเชิง การจัดแสงและเงาทำให้ทุกฉากเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและคลุมเครือ ส่วนงานเสียง โดยเฉพาะเสียงโทรศัพท์ เสียงลมหายใจ และเสียงสะท้อนในความมืด กลายเป็นองค์ประกอบที่มีชีวิต หนังไม่ได้ใช้เสียงเพื่อหลอก แต่ใช้เพื่อเตือนว่าทุกครั้งที่โทรศัพท์ดังขึ้น มันอาจเป็นเสียงของสิ่งที่เราพยายามหนี ในส่วนของบทภาพยนตร์ หนังพยายามขยายจักรวาลของ The Black Phone ให้กว้างขึ้น มีการเล่าถึงพลังลึกลับของเกวน และอดีตของฆาตกรหน้ากาก “The Grabber” ที่กลับมาในฐานะภาพจำหลอนของความกลัว แต่ถึงแม้ความพยายามจะน่าสนใจ บางช่วงกลับรู้สึกว่าหนัง “อธิบายมากเกินไป” จนทำให้ความลึกลับของต้นฉบับลดลงไปเล็กน้อย