รีวิว Jurassic World Rebirth จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ 

การกลับมาของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง Jurassic World ไม่ใช่เพียงภาคต่อ แต่คือบทใหม่แห่งวิวัฒนาการที่ควบคุมไม่ได้ ภายใต้ชื่อ Jurassic World Rebirth จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ ซึ่งเตรียมปลุกชีพฝันร้ายที่เคยฝังลึกในดีเอ็นเอของแฟนหนังทั่วโลกให้กลับมาอีกครั้ง กำกับโดย แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์ และเขียนบทโดย เดวิด โคปป์ เป็นภาคต่อแบบสแตนด์อโลนของ Jurassic World Dominion (2022) ถือเป็นภาพยนตร์ Jurassic World ภาคที่ 4 และเป็นภาคที่ 7 โดยรวมในแฟรนไชส์ ​​Jurassic Park ดูหนัง เรื่องนี้จะไม่ใช่แค่หนังสัตว์ดึกดำบรรพ์ไล่ล่าอีกต่อไป แต่เป็นการชำแหละความจริงเบื้องหลังจริยธรรมของวิทยาศาสตร์ การเอาชนะธรรมชาติที่ไม่เคยปรานี เตรียมพบกับการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์ไซไฟเขย่าขวัญ การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ และปรัชญาเบื้องลึกในโลกที่ไม่มีอะไรควบคุมได้อีกต่อไป

นักแสดง/นำแสดงโดย

• สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน รับบทเป็น โซรา เบนเน็ตต์
• มเฮอร์ชาลา อาลีรับบทเป็น ดันแคน คินเคด
• โจนาธาน เบลีย์รับบทเป็น ดร. เฮนรี่ ลูมิส
• รูเพิร์ต เฟรนด์ รับบทเป็น มาร์ติน เครบส์
• ลูน่า เบลส รับบทเป็น เทเรซา เดลกาโด
• เดวิด ไออาโคโน รับบทเป็น ซาเวียร์ ด็อบส์

อ่านเรื่องย่อของ Jurassic World Rebirth จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่

เหตุการณ์ในภาคนี้เกิดขึ้น 5 ปีหลังจาก Jurassic World: Dominion โลกส่วนใหญ่ของไดโนเสาร์ตายลงไปเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เหลือเพียงไดโนเสาร์กลุ่มสุดท้ายอาศัยอยู่บนเกาะกักกันในเขตร้อน Ile Saint‑Hubert ซึ่งเคยเป็นสถานีวิจัยลับของ InGen และ Jurassic Park แต่บริษัทเภสัชกรรม ParkerGenix วางแผนใช้ดีเอ็นเอจากไดโนเสาร์ระดับยักษ์ 3 สายพันธุ์ (บก, น้ำ, อากาศ) เพื่อพัฒนายารักษาโรคหัวใจของมนุษย์ ทีมภารกิจนำโดย โซรา, ดันแคน และดร. เฮนรี่

ระหว่างที่กำลังเดินเรือเพื่อทำภารกิจ พวกเขาก็ได้รับสัญญาณวิทยุแจ้งเหตุจากครอบครัว เดลกาโด เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังเรือของพวกเขาถูกไดโนเสาร์น้ำโจมตี เรือของโซราหันกลับเพื่อไปช่วย เมื่อช่วยสำเร็จ พวกเขาก็กลับเข้าสู่เส้นทางและทำภารกิจเก็บ DNA ไดโนเสาร์น้ำจนสำเร็จ แต่ก็ถูกกลุ่มไดโนเสาร์น้ำโจมตีจนพวกเขาต้องหนีขึ้นไปบนเกาะกักกันที่มีแต่ไดโนเสาร์กลายพันธุ์ดุร้าย

ดูหนัง รีวิวหนัง Jurassic World Rebirth จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่

การฟื้นคืนของจักรวาลไดโนเสาร์ที่ทะเยอทะยาน สะท้อนบทเรียนของอดีตและหายนะในอนาคต เดวิด โคปป์ กลับมารับหน้าที่เขียนบทอีกครั้ง นับเป็นการหวนคืนของหนึ่งในผู้ปลุกปั้น Jurassic Park (1993) ซึ่งครั้งนี้เขานำเสนอเรื่องราวที่ลุ่มลึกขึ้น ไม่ได้เน้นเฉพาะการไล่ล่าหรือระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบภาคก่อน ๆ ดูหนัง ที่มีการแทรกประเด็นทางปรัชญา วิทยาศาสตร์ และจริยธรรมอย่างแนบเนียน โครงเรื่องมีการแบ่ง Act ชัดเจน ดำเนินเรื่องเร็วแต่ไม่ลวก และที่สำคัญมีเดิมพันสูงขึ้นกว่าที่เคย เมื่อภัยคุกคามไม่ได้มาจากไดโนเสาร์เพียงอย่างเดียว แต่คือผลลัพธ์ของความหยิ่งผยองทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์

ผู้กำกับแกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์ ขึ้นชื่อเรื่องการจัดองค์ประกอบภาพและการสร้างบรรยากาศอันตึงเครียดอย่างทรงพลัง ซึ่งใน Jurassic World Rebirth จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ เขายกระดับซีรีส์ให้เข้มข้นและจริงจังกว่าที่เคยเห็น ฉากเปิดและไคลแมกซ์ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ทั้งการใช้แสงเงา เสียงสั่นสะเทือน และความเงียบก่อนการระเบิดทางอารมณ์ ผู้ชมสัมผัสได้ถึงพลังของธรรมชาติที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างแท้จริง Industrial Light & Magic (ILM) ยังคงเป็นหัวเรือใหญ่ด้านเทคนิคพิเศษ ด้วย CGI ที่ลื่นไหล สมจริง และน่าประทับใจ โดยเฉพาะไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ที่มี “บุคลิกเฉพาะตัว” ทั้งจากรูปลักษณ์และพฤติกรรม การถ่ายภาพใช้เลนส์ยาวและการแพนภาพแบบต่อเนื่องเพื่อเน้นขนาด และความกลัว ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าไดโนเสาร์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่เกินชีวิต ไมเคิล จิอัคคิโน ผู้ประพันธ์ดนตรีจากภาคก่อน กลับมาสานต่อธีมเดิมแต่ผสมผสานเสียงสังเคราะห์ยุคใหม่ ทำให้กลิ่นอายคลาสสิกยังคงอยู่ ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกเข้มข้นและหม่นกว่าที่เคย เพลงธีมในฉากไคลแมกซ์ยังคงใช้เมโลดี้จาก Jurassic Park แบบดัดแปลง ทำให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างแฟนยุคเก่ากับโลกใหม่ของซีรีส์